วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

                             ยำใบบัวบก


ยำใบบัวบก







ใบบัวบก ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ ชะลอความแก่ กระตุ้นการสมานแผลให้เร็วขึ้น
ส่วนผสมยำใบบัวบก
  • ใบบัวบก 20 ใบ
  • กุ้งเสียบ 15 ตัว
  • น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ
  • มะพร้าวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะนาว 3/4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลเล็กน้อย
วิธีทำยำใบบัวบก
  1. ล้างใบบัวบกให้สะอาด หั่นเป็นท่อนพอดีคำ พักไว้
  2. ผสมน้ำพริกเผา มะพร้าวคั่ว น้ำปลา น้ำมะนาว และน้ำตาลทรายเข้าด้วยกันเป็นน้ำยำ
  3. นำใบบัวบกมาคลุกเคล้ากับน้ำยำให้เข้ากัน จากนั้นตักใส่จานและโรยหน้าด้วยกุ้งเสียบ จัดแต่งให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ
  4. นำปลากะพงที่ปั้นได้รูปแล้วเขาอบในเตา ก่อนที่จะนำไปทอดบนกระทะเทฟลอน ใส่น้ำสต๊อกผักลงไปเล็กน้อย
  5. แต่งหน้าด้วยมะเขือเทศหั่นขวาง ผักชี และใบสะระแหน่ พร้อมเสิร์ฟกับน้ำจิ้มรสเด็ด
สรรพคุณทางยา
  1. บัวบก ทั้งต้นรสหอมเย็น บำรุงหัวใจ บำรุงร่างกาย แก้อ่อนเพลีย แก้ไข้กระหายน้ำ แก้ช้ำใน
  2. หอมแดง รสเผ็ดร้อน แก้ไข้เพื่อเสมหะ บำรุงธาตุ แก้ไข้หวัด
  3. พริกขี้หนูสด รสเผ็ดร้อน ขับลม ช่วยย่อย ช่วยเจริญอาหาร
  4. มะนาว เปลือกผลรสขม ช่วยขับลม น้ำมะนาวรสเปรี้ยว แก้ไอ ขับเสมหะ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต
คุณค่าทางโภชนาการ
ยำบัวบก 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 285.67 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย
  • น้ำ 284.23 กรัม
  • ไขมัน 3.58 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 42.63 กรัม
  • โปรตีน 21.67 กรัม
  • กาก 7.91 กรัม
  • แคลเซียม 1,174.66 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 379.86 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 17.49 มิลลิกรัม
  • วิตามินเอ 26,869.85 IU
  • วิตามินบีหนึ่ง 0.67 มิลลิกรัม
  • วิตามินบีสอง 0.34 มิลลิกรัม
  • ไนอาซิน 5.02 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 29.1 มิลลิกรัม

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554


น้ำยาอเนกประสงค์
ส่วนประกอบ
1. N 70 (
สารที่ทำให้เกิดฟอง) 1 ส่วน
2.
น้ำเกลือ 5 ส่วน
3.
น้ำด่าง 10 ส่วน
4.
น้ำหมักชีวภาพ(น้ำหมักจากผลไม้เปรี้ยว) 10 ส่วน
วิธีทำ
1.
2.
นำ N 70 กวนกับเกลือ 1 ลิตร โดยทยอยเทลงทีละครึ่งลิตร กวนให้ เข้ากันจนเป็นครีมสีขาวนวล (กวนตามเข็มนาฬิกา) เติมน้ำด่างลงไปครั้งละ 1 ลิตร กวนให้เข้ากันจนข้นเป็นเนื้อเดียวกัน จนหมดน้ำด่างที่ตวงไว้
3.
เติมน้ำหมักลงไปครั้งละ 1 ลิตร กวนไปเรื่อยๆพร้อมกับเติมน้ำเกลือ เป็นระยะๆ จนหมดพร้อมกัน
4.
พักให้ฟองยุบแล้วเติมน้ำหอมกวนให้เข้ากัน (ข้อควรระวัง ไม่ควรนำน้ำยาไปสระผม เนื่องจากความเข้มข้น ถ้าใช้นานๆไม่เป็นผลดีต่อเส้นผม)
วิธีทำน้ำด่าง
ขี้เถ้า
1 ส่วน น้ำ 3 ส่วน แช่น้ำไว้ 3 วัน ขึ้นไป กรองเอาน้ำใสไปใช้
วิธีทำ
น้ำหมักชีวภาพจากผลไม้รสเปรี้ยว ใช้น้ำตาลทรายแดง
1 กก. คลุกเคล้ากับผลไม้ 3 กก. เติมน้ำเปล่า 10 ลิตร หมักไว้ 7 วัน ขึ้นไปใช้ได้ สบู่ก้อนใสกลีเซอร์รีน

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บอระเพ็ด

บอระเพ็ด หวานเป็นลมขมเป็นยา(อายุวัฒนะ)

tinospora บอระเพ็ด หวานเป็นลมขมเป็นยา(อายุวัฒนะ)
บอระเพ็ด
“หวานเป็นลมขมเป็นยา” คำพังเพย ที่เปรียบเปรย ถึงวาจาที่ขาดความจริงใจนั้น มีพิษร้ายเหมือนน้ำตาลหรือขนมหวานเจี๊ยบ  ที่เรากินของหวานเหล่านี้ครั้งละมากๆ  อาจทำให้เป็นลมได้

ในทางวิทยาศาสตร์ยืนยันได้ว่า คำกล่าวเช่นนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง  เพราะการที่มีน้ำตาลเข้าไปในกระแส เลือดอย่างรวดเร็ว ก็จะไปกระตุ้นให้ร่างกาย มีกลไกที่หลั่งสารมาลดน้ำตาลอย่างฉับพลัน   มีผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นลมได้เช่นกัน
ส่วนของขมๆ นั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย เหมือนกับคำพูดที่ตรงไปตรงมา  อาจทำความขมขื่นใจให้ผู้รับฟัง แต่ก็จะเป็นประโยชน์ในการแก้ไขข้อผิดพลาด  เหมือนกับยาที่รักษาโรคภัยต่างๆ
พอพูดถึงความขม  ใครๆ ก็ต้องนึกถึงบอระเพ็ดเป็นอันดับแรก  สมัยก่อนเวลาที่แม่ต้องการให้ลูกหย่านม เพราะลูกโตจนวิ่งได้แล้วก็ยังวิ่งมาเลิกเต้าดูดนมแม่อยู่  แม้แม่จะไม่ค่อยมีน้ำนมแล้วก็ตาม แม่จะเอาบอระเพ็ดมาทาที่หัวนมให้เจ้าลูกไม่รู้จักโตดูดเสียให้เข็ด สุดท้ายต้องยอมแพ้เลิกดูดนมแม่แต่โดยดี
ด้วยความที่มีรสขม บอระเพ็ด จึงเป็นสัญญลักษณ์ของยา   คนสมัยก่อนทุกคนจะรู้ว่าบอระเพ็ดเป็นยาอายุวัฒนะ  บางคนก็เคี้ยวกินสดๆ  บางคนก็ทำเป็นยาลูกกลอนผสมน้ำผึ้งไว้กินทุกวัน  หรือผสมกับยาตัวอื่นๆ
ชาวอีสานนิยมกินยาต้มบำรุงสุขภาพ  มีหลายตำรับที่เข้าบอระเพ็ด  เช่นตำรับที่ว่า“ตักบ่เต็ม  เค็มบ่จืด  มืดบ่แจ้ง กอมบ่ลา” ขยายความก็คือ  ตักบ่เต็ม  คือ ต้นกะบก  เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เนื้อในเมล็ดกะบกกินได้ มันๆ อร่อยเลยละ  เราจะพอได้เห็นเมล็ดกะบกคั่ววางขายคู่กับมะขามป้อม  หินขัดเท้า  อยู่แถวสะพานลอยในกรุงเทพฯ หรือที่สวนจตุจักร ส่วน เค็มบ่จืด ก็คือต้นมะเกลือ เป็นต้นไม้ใหญ่ที่ผลสามารถที่จะใช้เป็นยาขับพยาธิได้
อีกต้น มืดบ่แจ้ง คือต้นหมากหม้อ  ต้นนี้ดูเหมือนไม่มีชื่อทางกรุงเทพฯ เป็นต้นไม้ที่ลูกสีดำสนิทเหมือนก้นหม้อสมัยก่อน  ลูกกินได้ รสหวานเอียนๆ
ตัวสุดท้ายกอมบ่ลา หมายถึง  ความขมที่ไม่สร่างก็คือ บอระเพ็ดนั่นเอง  เขาจะใช้แก่นของต้นไม้และเถาบอระเพ็ด ต้มรวมกันกินเป็นชา  ชาวบ้านจริงๆ เขาไม่มีสภากาแฟแต่มีสภายาต้ม  ยามเย็นกินยาต้มกันไป  โสกันไป  ถึงสารทุกข์สุกดิบ  และปัญหาต่างๆ ของชุมชน  นั่นเป็นอดีตของชุมชนที่ไม่มีทีวีมากรอกหูให้ซื้อนั่นใช้นี่  จนทุกวันนี้
ไม่มีเวลาที่จะคิดหรือโสกันอีกต่อไป  ยาต้มบำรุงสุขภาพในยามเย็นก็พลอยถูกลืมเลือน
สังคมที่เปลี่ยนไป นำพาโรคภัยใหม่ๆ เข้ามาตามยุคสมัย โรคเบาหวานที่ไม่เคยปรากฎได้มีขึ้นทั่วทุกหัวระแหงตามสภาพความอยู่ดีกินดี  คนที่เป็นโรคนี้ก็พยายามใช้ภูมิปัญญาในอดีต  ว่าให้กินของขมๆ อย่าไปกินหวานมากแล้วพวกเขาก็พบว่า เจ้าของขมทั้งหลายนี้ ทำให้อาการของโรคทุเลาลงแม้จะไม่หายขาด
การศึกษาวิจัยในทางวิทยาศาสตร์ก็พบว่า ของขมๆ ทั้งหลาย มีหลายชนิด สามารถที่จะลดน้ำตาลในเลือดได้ เช่น มะระ มะระขี้นก  เป็นต้น  บอระเพ็ดก็เช่นกัน  มีคนไข้โรคเบาหวานหลายคนที่มีประสบการณ์กับตนเอง  พบว่าหากกินบอระเพ็ดเป็นประจำแล้วจะทำให้การคุมน้ำตาลเป็นไปได้ดีขึ้น  จนทำให้โรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่งที่มีการเปิดบริการสมุนไพร ทำบอระเพ็ดแคปซูลขายให้คนไข้เบาหวานไม่ทัน ในวันที่มีคลินิกเบาหวาน
การศึกษาในห้องทดลองก็มีผลที่น่าสนใจในการลดเบาหวาน  คือ  ได้มีการทดลองนำสารสกัดเถาบอระเพ็ดด้วยน้ำ  ไปทดลองในหนูทั้งหนูปกติและหนูที่ถูกทำให้เป็นเบาหวาน   พบว่าเมื่อผสมสารสกัดในน้ำดื่มขนาด ๔ กรัม/ลิตร  ให้หนูกินเป็นเวลาสองสัปดาห์ เมื่อทดสอบด้วยกลูโคสทอเรอแลนซ์เทส (glucose tolerance)  พบว่าดีขึ้นกว่าก่อนให้ยา แสดงว่ามีผลลดน้ำตาลในเลือด  และพบว่ามีปริมาณอินซูลินเพิ่มมากขึ้น และยังพบว่าสารสกัดบอระเพ็ดกระตุ้นให้เซลตับอ่อนของหนูขาวและคนหลั่งอินซูลิน  กล่าวคือ การลดเบาหวานของบอระเพ็ด จะมาจากระบวนการกระตุ้นให้มีการหลั่งอินซูลินนั่นเอง
จากรายงานการทดลองดังกล่าว แม้จะยังไม่มีการศึกษาในทางคลินิกที่ทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานแต่การกิน   บอระเพ็ดเป็นประจำเพื่อควบคุมโรค คงพอที่จะเป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยเหล่านี้   เพราะเบาหวานเป็นโรคที่ไม่หายขาด และจะมีอาการมากขึ้น จนต้องเพิ่มขนาดของยาแผนปัจจุบันขึ้นเรื่อยๆ  แม้จะควบคุมอาหารดีปานใดก็ตาม
การกินบอระเพ็ดไม่มีพิษภัยอันใด (มีผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน)  ถือว่ากินเป็นยาบำรุงสุขภาพเหมือนที่คนรุ่นก่อน เขากินกันเป็นประจำ แล้วก็วัดระดับน้ำตาลสม่ำเสมอ คุมอาหารเหมือนๆ เดิม คนที่ใช้ก็จะรู้เองว่า  หลังจากกินบอระเพ็ดแล้วเป็นเช่นใด
บอระเพ็ดเป็นพืชที่ขึ้นง่าย เอาเถาสั้นๆ มาวางเหนือดินเล็กน้อย รดน้ำให้ชุ่ม หาที่เลื้อยสักพักก็เลื้อยเต็มไปหมด  การนำบอระเพ็ดมาทำยา เพียงนำเถามาหั่นตากแดดให้แห้ง นำไปบดเป็นผง ทำเป็นลูกกลอน ขนาดเท่าเม็ด  พุทราไทย กินครั้งละ ๑ เม็ด วันละ ๓ เวลา หรือนำไปบรรจุใส่แคปซูลเบอร์ศูนย์ (ประมาณ ๓๐๐ มิลลิกรัมต่อแคปซูล)  กินครั้งละ ๑-๒ แคปซูล วันละ ๓ เวลา หรือคนไข้เบาหวานบางคนแน่มาก กินเป็นผงๆ ครั้งละช้อนชา วันละ ๓ เวลาก็ได้
ข้อมูลบางส่วนคัดลอกมาจาก khonnaruk.com
สรรพคุณบอระเพ็ดตัวผู้และตัวเมีย
boraped บอระเพ็ด หวานเป็นลมขมเป็นยา(อายุวัฒนะ)
บอระเพ็ด
ชิงช้าชาลี ( บอระเพ็ดตัวผู้ )เถา รสขม สรรพคุณ แก้พิษฝีดาษ แก้ไข้เหนือ ไข้เพื่อโลหิต แก้ฝีกาฬ บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ
เจริญอาหาร ทำให้เลือดเย็น แก้มะเร็ง
ใบ รสขมเมา สรรพคุณ ฆ่าพยาธิผิวหนัง แก้มะเร็ง
ดอก รสขมเมา สรรพคุณ ขับพยาธิในท้อง แก้รำมะนาด ปวดฟัน แก้แมลงเข้าหู
บอระเพ็ด ( บอระเพ็ดตัวเมีย )เถา รสขม สรรพคุณ แก้พิษฝีดาษ ไข้เหนือ ไข้พิษ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ทำให้เนื้อเย็น
แก้สะอึก บำรุงกำลัง บำรุงน้ำดี บำรุงไฟธาตุ
ใบ รสขมเมา สรรพคุณ ฆ่าพยาธิไส้เดือน ฆ่าแมลงเข้าหู แก้รำมะนาด ปวดฟัน
ลูก รสขม สรรพคุณ แก้ไข้ แก้เสมะเป็นพิษ
ราก สรรพคุณ แก้ไข้สูงมีอาการเพ้อคลั่ง
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Tinospora crispa  (L.) Miers ex Hook.f.& Thomson
วงศ์ :   Menispermaceae
ชื่ออื่น :  ตัวเจตมูลยาน เถาหัวด้วน (สระบุรี) หางหนู (สระบุรี,อุบลราชธานี) จุ่งจิง เครือเขาฮอ (ภาคเหนือ) เจตมูลหนาม (หนองคาย)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  ไม้เถาเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่น เถากลมมีขนาดใหญ่เป็นปุ่มปม สีเทาอมดำ มีรสขม เปลือกลอกออกได้ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ก้านใบยาว 8-10 ซม. ดอก ออกตามซอกใบ ดอกแยกเพศอยู่คนละช่อ ดอกสีเขียวอมเหลือง มีขนาดเล็กมาก ผล รูปทรงค่อนข้างกลม สีเหลืองหรือสีแดง
เกร็ดความรู้บอระเพ็ดเป็นไม้เลื้อยที่พบโดยทั่วไปตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณและสามารถปลูกได้ง่าย แม้แต่ตัดเถาไปห้อยตามต้นไม้ก็ยังงอกรากลงดินได้ คนไทยทุกภาคเชื่อว่าบอระเพ็ดเป็นยาบำรุงสุขภาพเป็นยาอายุวัฒนะบำรุงกำลังช่วยขับน้ำย่อยทำให้เจริญอาหาร คนโบราณหาทางกินบอระเพ็ดได้หลายวิธี เช่น ใช้ดองน้ำผึ้งกินเป็นประจำเป็นยาอายุวัฒนะกินแล้วร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย ผู้ป่วยเบาหวานพบว่าการกินร่วมกับยาแผนปัจจุบันสามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลได้ดีมาก (แต่ไม่ได้งดยาแผนปัจจุบัน) บางคนผมร่วงกินผงบอระเพ็ดวันละ 400 ถึง 800 มิลลิกรัม(1 ถึง 2แคปซูล) สัก 1 เดือนผมมีแนวโน้มที่จะดกหนาตามปกติ บางคนที่ผมหงอกก่อนวัยกินแล้วพบว่าผมหงอกน้อยลง
สรรพคุณบอระเพ็ดที่ชาวบ้านใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ การตำบอระเพ็ดทั้งใบและต้นคั้นน้ำผสมน้ำซาวข้าวชโลมผมทิ้งไว้เพื่อแก้ปัญหาเรื่องเส้นผมและหนังศรีษะ แก้ผมหงอกก่อนวัย แก้รังแค รายงานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า บอระเพ็ดมีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งการมีฤทธิ์เช่นนี้ก็สามารถ ป้องกันความชราของเซลล์ต่าง ๆ จึงเป็นไปได้ที่บอระเพ็ดจะมีประโยชน์ต่อเส้นผมอย่างที่โบราณเขาเชื่อกันจริง ๆ
ผลงานการวิจัย1.ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดพบว่าสารสกัดจากลำต้นบอระเพ็ดด้วย 95% เอธานอล มีฤทธิ์ทำให้ oral glucose tolerance (OGT) ของหนูขาวปกติดีขึ้นเมื่อเปรียบกับกลุ่มควบคุมโดยระดับน้ำตาลจะลดลง 12.15% และ 12.84% หลังจากป้อนสารสกัดให้กับหนูขาว 4 และ 6 ชั่วโมงตามลำดับ อย่างไรก็ตามสารสกัดดังกล่าวไม่มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูขาวปกติในทุก ๆ ความเข้มข้นที่ใช้ทดลอง (กัลยาและคณะ,2541) สารสกัดจากชั้นน้ำของลำต้นบอระเพ็ดสามารถลดระดับกลูโคสในเลือดและเพิ่มระดับ insulin ในเลือดในหนูที่เป็นเบาหวานได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมแต่ไม่มีผลในหนูปกติ(Noorandcroft,1989) กลไกในการออกฤทธิ์ของสารสกัดจากบอระเพ็ดพบว่าออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นการหลั่ง insulin ที่เบตาเซลล์ทำให้เบตาเซลล์มีความไวต่อความเข้มข้นของ Ca2+ ภายนอกเซลล์ส่งเสริมให้เกิดการสะสมของ Ca2+ใน เซลล์และทำให้เกิดการหลั่งของ insulin โดยไม่รบกวนการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหารและไม่รบกวนการนำกลูโคสเข้า peripheral cell
2.ฤทธิ์ลดไข้มีรายงานการศึกษาฤทธิ์ลดไข้ของสารสกัดจากชั้นน้ำของลำต้นบอระเพ็ดในหนูขาวเพศผู้ที่ถูชักนำให้เกิดไข้ด้วยวัคซีนไทฟอยด์ขนาด 0.6ml./ตัวพบว่าสารสกัดบอระเพ็ดขนาด 300,200,100 mg./kg. น้ำหนักตัวสามารถลดไข้ได้หลังป้อนสารสกัดบอระเพ็ดในชั่วโมงที่1,2 และตามลำดับแต่มีประสิทธิภาพอ่อนกว่า แอสไพริน (บุญเทียมและคณะ,1994)
3.ฤทธิ์ช่วยเจริญอาหารเนื่องจากความขมของบอระเพ็ดจึงสามารถใช้เป็นยาที่ทำให้เจริญอาหารได้ (รุ่งระวีและคณะ,2529)
4.ฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระมีรายงานการศึกษาฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของบอระเพ็ดพบว่าสารสกัด 3 ชนิด ได้แก่ N-trans-feruloyltyramine, N-cisferuloyltyramine, secoisolariciresinol มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระมากกว่า BHT ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐาน (Cavin et al.,1997)
5.ฤทธิ์ ในการต้านมาลาเรียมีรายงานการ ศึกษาฤทธิ์ในการต้านมาลาเรียของสารสกัดในชั้นเมธานอลและคลอโรฟอร์มพบว่าไม่มีฤทธิ์ในการต้านมาลาเรีย (Rahman etal.,1999)
6.ฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียมีการศึกษาฤทธิ์ในการต้านแบคทีเรียของสารสกัดจากใบและลำต้นในชั้นเอธานอลของบอระเพ็ดต่อเชื้อ Staphylococcus aureus beta-Streptococcus gr.A Klebsiella pneumoniae และ Pseudomonas aeruginosa พบว่าสารสกัดจากชั้นเอธานอลของลำต้นบอระเพ็ดมีฤทธิ์ในการต้าน betastreptococcus gr.A (Laorpaksa et al., 1988) พิษวิทยา

การทดสอบความเป็นพิษ(Chavalittumrong,1997)- การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันจากการศึกษาพิษเฉียบพลันของสารสกัดด้วยเอธานอลของลำต้นบอระเพ็ด โดยให้ทางปากแก่หนูถีบจักรพบว่าเมื่อให้สารสกัดในขนาด 4g ต่อน้ำหนักหนู 1 kg. (g./kg.) หรือเทียบเท่ากับลำต้นแห้ง 28.95 g./kg. ไม่ทำให้เกิดอาการพิษ
-การทดสอบความเป็นพิษเรื้อรัง จากการศึกษาพิษเรื้อรังของสารสกัดด้วยเอธานอลโดยการกรอกสารสกัดของบอระเพ็ดขนาดต่าง ๆ แก่หนูขาว ติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน พบว่า สารสกัดในขนาด 0.02 g/น้ำหนักหนู 1 kg./day (g./kg./day) ซึ่งเทียบเท่ากับขนาดที่ใช้ในคนไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตหรือการกินอาหารของหนู และไม่ทำให้เกิดความผิดปกติของค่าทางโลหิตวิทยาหรือค่าทางชีวเคมีของซีรั่ม รวมทั้งไม่ทำให้เกิดพยาธิสภาพของอวัยวะภายในต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมแต่หนูที่ได้รับสารสกัดในขนาด1.28 g./kg./day หรือ 64 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนมีอัตราการเกิด bile duct proliferationและ focal liver cell hyperplasia รวมทั้งมีค่าของเอนไซม์ alkaline hosphatase และ alanine aminotransferase และ ค่าครีอะตินินสูงกว่ากลุ่มควบคุมแสดงให้เห็นว่าสารสกัดบอระเพ็ดในขนาดต่ำ เช่น ขนาดที่ใช้ในคนไม่ทำให้เกิดความผิดปกติใด ๆ ในสัตว์ทดลองแต่ในขนาดที่สูงอาจทำให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของตับและไตได้


วิธีการใช้ตามภูมิปัญญาไทย1.ใช้เถาบอระเพ็ดหั่นตากแห้ง แล้วบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกกลอนกินก่อนนอน วันละ 2-4 เม็ด ใช้เป็นยาอายุวัฒนะใช้เถาสดดองเหล้าความแรง 1 ใน 10 รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชาของยาที่เตรียม
2.กินบอระเพ็ดสดวันละ 2 องคุลีทุกวัน เป็นยาขมช่วยให้เจริญอาหาร และป้องกันไข้มาเลเรีย
3.เป็นยาขมแก้ไข้ นำเถาบอระเพ็ดมาตากแห้งบดเป็นผงปั้นเป็นลูกกลอนกินวันละ 3 เวลาก่อนอาหารถ้าบรรจุแคปซูล กินวันละ 2-3 เวลา หรือใช้เถาสดยาว 2-3 คืบ (30-40 กรัม) ใส่น้ำท่วมยานำไปต้มแล้วดื่มหรือต้มเคี่ยวกับน้ำ 3 ส่วน ต้มจนเหลือ 1 ส่วน ดื่มก่อนอาหาร วันละ 2-3 ครั้งเมื่อมีไข้ (ยุวดี จอมพิทักษ์, 2532)
4.ใช้เถาหรือต้นสดครั้งละ 2 คืบครึ่ง (30-40 กรัม) ตำแล้วคั้นเอาน้ำดื่ม หรือต้มกับน้ำโดยใช้น้ำ 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มก่อนเวลาช่วยลดไข้
5.ใช้รากและเถา ตำผสมมะขามเปียกและเกลือหรือดองเหล้ารับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา แก้ไขลดความร้อน (ยุวดี จอมพิทักษ์, 2532)
6.ใช้เถาที่โตเต็มที่ตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ผงครั้งละ 1 ช้อนชา ชงน้ำร้อนดื่ม วันละ 2 เวลา เช้า-เย็น หรือใส่ในแคปซูลเพื่อให้สะดวกในการใช้ ใช้รักษาโรคเบาหวาน

ข้อมูลบางส่วนจากจาก gooherb
                 สอนเพื่อนทำน้ำยาล้างจาน

  1. N70  0.5 กิโลกรัม
  2. เกลือ 0.7 กิโลกรัมต้มด้วยน้ำ 1.5 กิโลกรัม(ลิตร)ทิ้งไว้ให้เย็น
  3. น้ำหมักผลไม้รสเปรี้ยว 1 ลิตร + น้ำ 10 ลิตร กะๆเอาน้ำหมักผมมีเยอะ ใส่มากกว่านี้ก็ไม่เป็นไร
    น้ำหมักผลไม้รสเปรี้ยว
    น้ำหมักผลไม้รสเปรี้ยวสูตร 3:1:10
    ผลไม้ 3 กิโลกรัม
    น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม
    น้ำ 10 ลิตร
    หมักทิ้งไว้ 3 เดือนเป็นอย่างน้อย

น้ำหมักผมครับ มะกรูด มะนาว มะปริง มั่วได้ที่

น้ำเกลือครับอันนี้ก็มั่วอีก พ่อผมต้มข้าวโพดเสร็จ ผมก็เอาน้ำที่เหลือจากต้มข้าวโพดใส่เกลือเพิ่มเข้าไปให้ได้ตามสูตรแล้วต้มให้เกลือละลาย
วิธีที่ผมทำ
  1. เท N70 ครึ่งกิโลกรัมลงไปในถังที่มีความจุประมาณ 20 ลิตร
  2. ค่อยๆ เติมน้ำเกลือ คนไปเรื่อยๆ คนให้เข้ากัน
  3. คน และเติมน้ำเกลือไปเรื่อยๆ จนน้ำเกลือหมด
  4. ค่อยๆ เติมน้ำหมักที่ผสมน้ำแล้ว แล้วคนไปเรื่อยๆ อย่ารีบเติม เติมไปคนไป ความหนืดจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น
  5. ทดสอบความหนืดโดยการดึงไม้ที่ใช้กวนขึ้นมาดู

    ถ้าไหลเร็วก็แสดงว่าเหลวเกินไป ถ้าไหลช้าแสดงว่าข้น
    ขึ้นอยู่กับว่าอยากได้แบบเหลวหรือแบบข้น
  6. ทิ้งไว้ 1 คืนเพื่อให้ฟองยุบ จึงนำมาใช้งานได้
ผมเองไม่ซื้อน้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างห้องน้ำมาเป็นเวลาประมาณ 2 ปี ใช้น้ำยาที่ผมทำนี่แหละ ล้างจานล้างห้องน้ำ
การทำน้ำยาล้างจาน PDF Print E-mail


Written by อุไร เชื้อเย็น   
Friday, 19 March 2010 08:35
น้ำยาล้างจาน
ส่วนประกอบ
1. หัวแชมพู (emal 28 ctn ) หรือ N70           1        กก.
2. สารขจัดคราบ (neopelelex f-24)               1.25  กก.
3. สารชำระล้างถนอมมือ (amphitol 55 ab)    100   กรัม
4. หัวน้ำหอม                                                     8       กรัม
5. น้ำสะอาด                                                       5      ลิตร
อุปกรณ์ที่ใช้
1. ถังน้ำขนาด                                                     10     ลิตร
2. ไม้สำหรับกวนน้ำยาให้เข้ากัน
3. ขวดน้ำเปล่าขนาดประมาณ 500 cc จำนวน 15 ขวด สำหรับใส่น้ำยา
วิธีทำ
1. นำหัวแชมพู emal 28 ctn ผสมกับ สารขจัดคราบ (neopelelex f-24) กวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน โดยเติมน้ำสอาดทีละน้อยจนครบ 5 ลิตร กวนให้เข้ากัน
2. เติมสารชำระล้างถนอมมือ (amphitol 55 ab) ในส่วนผสมข้อที่ 1 กวนให้เข้ากัน (กวนช้า ๆ เพราะจะเกิดฟองมาก
3. เมื่อกวนเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว นำสารกันเสียและหัวน้ำหอม (น้ำหอมกลิ่นมะนาวหรือกลิ่นอื่นที่ชอบ) เติมลงไปกวนให้เข้ากัน
หมายเหตุ
ราคาชุดละ  130 บาท หาซื้อได้ที่ร้านศรีสำอาง หรือร้านฮงฮวด ใกล้สี่แยกวัดตึก (วัดชัยชนะสงคราม) ใกล้คลองถม สำเพ็ง นั่งรถสาย 8 หรือ ปอ.พ. 8 จากหน้าสวนจตุจักร
หรือซื้อได้ที่ บริษัทฮงฮวด จำกัด (สาขาจตุจักร) ชั้น 2 เลขที่ S39 อาคาร เจ.เจ.มอลล์ ถ.กำแพงเพชร แขวงจตุจักร เขตจตุจักร



การทำน้ำยาล้างจาน PDF Print E-mail


Written by อุไร เชื้อเย็น   
Friday, 19 March 2010 08:35
น้ำยาล้างจาน
ส่วนประกอบ
1. หัวแชมพู (emal 28 ctn ) หรือ N70           1        กก.
2. สารขจัดคราบ (neopelelex f-24)               1.25  กก.
3. สารชำระล้างถนอมมือ (amphitol 55 ab)    100   กรัม
4. หัวน้ำหอม                                                     8       กรัม
5. น้ำสะอาด                                                       5      ลิตร
อุปกรณ์ที่ใช้
1. ถังน้ำขนาด                                                     10     ลิตร
2. ไม้สำหรับกวนน้ำยาให้เข้ากัน
3. ขวดน้ำเปล่าขนาดประมาณ 500 cc จำนวน 15 ขวด สำหรับใส่น้ำยา
วิธีทำ
1. นำหัวแชมพู emal 28 ctn ผสมกับ สารขจัดคราบ (neopelelex f-24) กวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน โดยเติมน้ำสอาดทีละน้อยจนครบ 5 ลิตร กวนให้เข้ากัน
2. เติมสารชำระล้างถนอมมือ (amphitol 55 ab) ในส่วนผสมข้อที่ 1 กวนให้เข้ากัน (กวนช้า ๆ เพราะจะเกิดฟองมาก
3. เมื่อกวนเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว นำสารกันเสียและหัวน้ำหอม (น้ำหอมกลิ่นมะนาวหรือกลิ่นอื่นที่ชอบ) เติมลงไปกวนให้เข้ากัน
หมายเหตุ
ราคาชุดละ  130 บาท หาซื้อได้ที่ร้านศรีสำอาง หรือร้านฮงฮวด ใกล้สี่แยกวัดตึก (วัดชัยชนะสงคราม) ใกล้คลองถม สำเพ็ง นั่งรถสาย 8 หรือ ปอ.พ. 8 จากหน้าสวนจตุจักร
หรือซื้อได้ที่ บริษัทฮงฮวด จำกัด (สาขาจตุจักร) ชั้น 2 เลขที่ S39 อาคาร เจ.เจ.มอลล์ ถ.กำแพงเพชร แขวงจตุจักร เขตจตุจักร



การทำน้ำยาล้างจาน PDF Print E-mail


Written by อุไร เชื้อเย็น   
Friday, 19 March 2010 08:35
น้ำยาล้างจาน
ส่วนประกอบ
1. หัวแชมพู (emal 28 ctn ) หรือ N70           1        กก.
2. สารขจัดคราบ (neopelelex f-24)               1.25  กก.
3. สารชำระล้างถนอมมือ (amphitol 55 ab)    100   กรัม
4. หัวน้ำหอม                                                     8       กรัม
5. น้ำสะอาด                                                       5      ลิตร
อุปกรณ์ที่ใช้
1. ถังน้ำขนาด                                                     10     ลิตร
2. ไม้สำหรับกวนน้ำยาให้เข้ากัน
3. ขวดน้ำเปล่าขนาดประมาณ 500 cc จำนวน 15 ขวด สำหรับใส่น้ำยา
วิธีทำ
1. นำหัวแชมพู emal 28 ctn ผสมกับ สารขจัดคราบ (neopelelex f-24) กวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน โดยเติมน้ำสอาดทีละน้อยจนครบ 5 ลิตร กวนให้เข้ากัน
2. เติมสารชำระล้างถนอมมือ (amphitol 55 ab) ในส่วนผสมข้อที่ 1 กวนให้เข้ากัน (กวนช้า ๆ เพราะจะเกิดฟองมาก
3. เมื่อกวนเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว นำสารกันเสียและหัวน้ำหอม (น้ำหอมกลิ่นมะนาวหรือกลิ่นอื่นที่ชอบ) เติมลงไปกวนให้เข้ากัน
หมายเหตุ
ราคาชุดละ  130 บาท หาซื้อได้ที่ร้านศรีสำอาง หรือร้านฮงฮวด ใกล้สี่แยกวัดตึก (วัดชัยชนะสงคราม) ใกล้คลองถม สำเพ็ง นั่งรถสาย 8 หรือ ปอ.พ. 8 จากหน้าสวนจตุจักร
หรือซื้อได้ที่ บริษัทฮงฮวด จำกัด (สาขาจตุจักร) ชั้น 2 เลขที่ S39 อาคาร เจ.เจ.มอลล์ ถ.กำแพงเพชร แขวงจตุจักร เขตจตุจักร



การทำน้ำยาล้างจาน PDF Print E-mail


Written by อุไร เชื้อเย็น   
Friday, 19 March 2010 08:35
น้ำยาล้างจาน
ส่วนประกอบ
1. หัวแชมพู (emal 28 ctn ) หรือ N70           1        กก.
2. สารขจัดคราบ (neopelelex f-24)               1.25  กก.
3. สารชำระล้างถนอมมือ (amphitol 55 ab)    100   กรัม
4. หัวน้ำหอม                                                     8       กรัม
5. น้ำสะอาด                                                       5      ลิตร
อุปกรณ์ที่ใช้
1. ถังน้ำขนาด                                                     10     ลิตร
2. ไม้สำหรับกวนน้ำยาให้เข้ากัน
3. ขวดน้ำเปล่าขนาดประมาณ 500 cc จำนวน 15 ขวด สำหรับใส่น้ำยา
วิธีทำ
1. นำหัวแชมพู emal 28 ctn ผสมกับ สารขจัดคราบ (neopelelex f-24) กวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน โดยเติมน้ำสอาดทีละน้อยจนครบ 5 ลิตร กวนให้เข้ากัน
2. เติมสารชำระล้างถนอมมือ (amphitol 55 ab) ในส่วนผสมข้อที่ 1 กวนให้เข้ากัน (กวนช้า ๆ เพราะจะเกิดฟองมาก
3. เมื่อกวนเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว นำสารกันเสียและหัวน้ำหอม (น้ำหอมกลิ่นมะนาวหรือกลิ่นอื่นที่ชอบ) เติมลงไปกวนให้เข้ากัน
หมายเหตุ
ราคาชุดละ  130 บาท หาซื้อได้ที่ร้านศรีสำอาง หรือร้านฮงฮวด ใกล้สี่แยกวัดตึก (วัดชัยชนะสงคราม) ใกล้คลองถม สำเพ็ง นั่งรถสาย 8 หรือ ปอ.พ. 8 จากหน้าสวนจตุจักร
หรือซื้อได้ที่ บริษัทฮงฮวด จำกัด (สาขาจตุจักร) ชั้น 2 เลขที่ S39 อาคาร เจ.เจ.มอลล์ ถ.กำแพงเพชร แขวงจตุจักร เขตจตุจักร


                       วิธีทำน้ำยาล้างจาน

 
อุปกรณ์และวิธีการทำน้ำยาล้างจาน


1.N70หรือหัวเชื้อ   1 กิโลกรัม
2.F24หรือสารขจัดไขมัน  ครึ่งกิโลกรัม ถ้าไม่มีไม่ต้องก็ได้ครับ
3.เกลือ ประมาณ ครึ่งกิโลกรัม ถึง1กิโลกรัม หรือ บางที่เรียกว่าผงข้น
4.น้ำผลไม้รสเปรี้ยว (ที่โรงเรียนทำใช้มะกรูดต้มกับน้ำ)ประมาณ 4 ลิตร
5.น้ำสะอาด ประมาณ7 ลิตร อันนี้แล้วแต่ความข้นครับหากยังข้นก็เติมได้อีกแต่ถ้ามากไปก็ใช้ไม่ได้บางที่ใช้น้ำขี้เถ้าผสมด้วย แต่ไม่มีก้ไม่ต้องครับ
วิธีทำ
เทN70กับF24ลงในภาชนะกวนไปในทิศทางเดียวกันให้เข้ากันจนเป็นครีมขาวๆจากนั้นเติมน้ำผลไม้ลงไปกวนไปเรื่อยๆหากไม่ข้นก็ค่อยๆเติมเกลือทีละน้อยสังเกตุดูหากข้นมากก็เติมน้ำลงไปสลับกันจนน้ำหมดทิ้งใว้ 1 คืนจนฟองยุบแล้วตักใส่ภาชนะใว้ใช้ ต้นทุนประมาณ 140 บาท ครับ ส่วนปริมาณที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้น้ำไปเท่าใด
N70คือสารลดแรงตึงผิวประจุลบ มีหน้าที่เป็นสารทำความสะอาดต่างๆมีชื่อเต็มๆว่าTexapon N70 มีชื่อทางเคมีว่า Sodium Laurylether Sulfate N70(โชเดียมลอริวอีเทอร์ซัลเฟตN70)มีชื่อย่อๆว่าSLES
ส่วนF24คือสารขจัดไขมันหรือLAS(linearalkylbenZene Sulfonate)
 จะใช้น้ำมะกรูดหรือมะนาวหมักก็ได้ครับใส่ 4 ลิตร
*วิธีทำน้ำมะกรูดหรือมะนาวหมัก
หั่นมะกรูดหรือมะนาว 4 กิโลกรัม เป็นสองซีก ใส่น้ำตาล 1 กิโลครึ่ง น้ำ10 ลิตร หมัก 30วัน กรองเอาแต่น้ำมาใช้
อย่าคนแรงเพราะจะทำให้มีฟองเกิดมาก

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มะละกอ Papaya
มะละกอ ชื่อวิทยาศาสตร์: Carica papyya L. ชื่อวงศ์: CARICACEAE ชื่อสามัญ: Papaya. ชื่อท้องถิ่น: มะก๊วยเต็ด ก๊วยเท็ด
ลักษณะทั่วไปของมะละกอ สามารถเจริญเติบโ๋ตได้ดีในทุกสภาพภูมิอากาศ ดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี น้ำไม่ท่วมขัง มีความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ระหว่าง 6.0-6.8 มะละกอใช้ผลบริโภคทั้งผลดิบและผลสุก

การเตรียมดินเพาะกล้ามะละกอ


โดยการใช้ดิน ที่มีส่วนผสมดังนี้ ดินร่วน 3 บุ้งกี๋ ปุ๋ยคอก, ขี้เถ้าแกลบ, ทรายหยาบ อัตราส่วน 1:1:1 ผสมคลุกเคล้าให้เข้ัากัน แล้วนำ มากรอกลงในถุงพลาสติกขนาด 4×6 หรือ 4×4 นิ้ว ให้เต็ม รดน้ำดินในถุงให้ชุ่ม นำเมล็ดพันธุ์มาหยอดลงในถุง ถุงละ 1-2 เมล็ด รดน้ำให้ชุ่มดูแลรักษารดน้ำทุกวัน หลังเมล็ดเริ่มงอกแล้วดูแลรักษาต้นกล้าประมาณ 30 วัน ก็สามารถย้ายปลูกในหลุมปลูกได้

การเตรียมแปลงปลูกมะละกอ

มะละกอ เป็นพืชที่มีระบบรากลึกและกว้าง ทำหลุมปลูกระยะห่างระหว่างแถว 2-2.5 เมตร ระหว่างต้น 2 เมตร ตีหลุมลึก 0.5 เมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยเคมี 15-15-15 อัตรา 1 ช้อนแกงต่อหลุม ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว ทับบนปุ๋ยเคมี นำต้นกล้ามะละกอ ลงปลูกในหลุมกลบโคนเล็กน้อยแล้วรดน้ำให้ชุ่ม หลังปลูกเสร็จให้ทำหลักเพื่อยึดลำต้นไม่ให้โยกขณะลมพัด

การดูแลรักษามะละกอ

  1. การใ้ห้ปุ๋ย
    - ให้ปุ๋ย 15-15-15 หลุมละ 1 ช้อนแกง ทุก 30 วัน
    - ให้ปุ๋ย 14-14-21 หลังติดดอกออกผลแล้ว อัตรา 1ช้อนแกง/ต้น/หลุม หรือจะใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์น้อยลงก็ได้
  2. การให้น้ำ เนื่องจากมะละกอเป็นพืชที่ต้องการน้ำน้อย แต่อย่าให้ขาดน้ำ เพราะจะทำให้ต้นแคระแกรน ไม่ติดดอกออกผล การให้น้ำอย่าให้มากเกินไป ถ้าน้ำท่วมขังนาน 1-2 วัน ต้นมะละกอจะเหลืองและตายในที่สุด
  3. การพรวนดินกำจัดวัชพืช ควรมีการพรวนดินกำจัดวัชพืชในช่วงแรก อย่าให้วัชพืชรบกวน
  4. การทำไม้หลัก เพื่อค้ำยันพยุงลำต้นไม่ให้ล้ม โดยเฉพาะช่วงติดผล

การเก็บเกี่ยว

มะละกอ ถ้าเก็บผลดิบสามารถเก็บได้หลังปลูกประมาณ 5-6 เดือน แต่ถ้าเก็บผลสุกหลังจากปลูกประมาณ 8-10 เดือน ถึงสามาถเก็บเกี่ยวได้ ให้เลือกเก็บเกี่ยวผลที่กำลังเริ่มสุกมีสีแต้มสีส้มปนเขียวนิดๆ ผลยังไม่นิ่ม
 

               มะละกอ

 
มะละกอ
มะละกอขณะออกผล
มะละกอขณะออกผล
Commons
มะละกอ (อังกฤษ: Papaya, คำเมือง: ᨠᩖ᩠ᩅ᩠᩶ᨿᨴᩮ᩠ᩈ) เป็นไม้ผลชนิดหนึ่ง สูงประมาณ 5-10 เมตร มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง ถูกนำเข้าสู่ประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผลดิบมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วเนื้อในจะมีสีเหลืองถึงส้ม นิยมนำมารับประทานทั้งสดและนำไปปรุงอาหาร เช่น ส้มตำ ฯลฯ หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็ได้

เนื้อหา

[แก้] ลักษณะทั่วไป

มะละกอเป็นไม้ล้มลุก (บางครั้งอาจเข้าใจผิดว่าเป็นไม้ยืนต้น) ใบมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว 5-9 แฉก เกาะกลุ่มอยู่ด้านบนสุดของลำต้น ภายในก้านใบและใบมียางเหนียวสีขาวอยู่ มะละกอบางต้นอาจมีดอกเพียงเพศเดียว แต่บางต้นอาจมีดอกได้ทั้งสองเพศก็ได้ ผลเป็นรูปรี อาจหนักได้ถึง 9 กิโลกรัม ผลดิบมีสีเขียว และมีน้ำยางสีขาวสะสมอยู่ที่เปลือก ส่วนผลสุก เนื้อในจะมีสีเหลืองถึงส้ม มีเมล็ดสีดำเล็ก ๆ อยู่ภายในกินไม่ได้

[แก้] ประโยชน์

นอกจากการนำมะละกอไปรับประทานสด ๆ แล้ว เรายังสามารถนำไปปรุงอาหาร เช่น ส้มตำ แกงส้ม ฯลฯ หรือนำไปหมักเนื้อให้นุ่มได้อีกด้วย เพราะในมะละกอมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า พาเพน (Papain) ซึ่งสามารถนำเอนไซม์ชนิดนี้ไปใส่ในผงหมักเนื้อสำเร็จรูป บางครั้งนำไปทำเป็นยาช่วยย่อยสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อยก็ได้
สำหรับสารอาหารในมะละกอนั้น มีดังต่อไปนี้
เนื้อมะละกอสุก
สารอาหารปริมาณสารอาหารต่อมะละกอสุก 100 กรัม
โปรตีน0.5 กรัม
ไขมัน0.1 กรัม
แคลเซียม24 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส22 มิลลิกรัม
เหล็ก0.6 มิลลิกรัม
โซเดียม4 มิลลิกรัม
ไทอะมีน0.04 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน0.04 มิลลิกรัม
ไนอะซิน0.4 มิลลิกรัม
กรดแอสคอร์บิก (วิตามินซี)70 มิลลิกรัม
สรรพคุณของมะละกอ สรรพคุณของมะละกอมีมากมายนัก ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้ 1. แก้อาการขัดเบา ใช้รากสด (1 กำมือ) 70-90 กรัม รากแห้ง 25-35 กรัม หั่นต้มกับน้ำ กรองดื่มเฉพาะน้ำ วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา(75 มิลลิลิตร) ดื่มก่อนอาหาร
2. เป็นยาระบายอ่อนๆ การกินเนื้อมะละกอสุก ช่วยเป็นยาระบายอ่อนๆ เพราะไปช่วยเพิ่มจำนวนกากไยอาหาร ดังนั้นเนื้อผลสุกมะละกอจะช่วยระบายอ่อนๆ แก้ท้องผูก
สรรพคุณ มะละกอ :
ผลสุก - เป็นมีสรรพคุณป้องกัน หรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบาย
ยางจากผลดิบ - เป็นยาช่วยย่อยโปรตีน ฆ่าพยาธิได้
รากมะละกอ - ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา
ใช้เป็นยาระบาย :ใช้ผลสุกไม่จำกัดจำนวน รับประทานเป็นผลไม้
เป็นยาช่วยย่อย: 1. ใช้เนื้อมะละกอดิบไม่จำกัด ประกอบอาหาร เช่น ส้มตำ แกง เป้นผักจิ้ม 2. ยางจากผลดิบ หรือจากก้านใบ ใช้ 10-15 กรัม หรือถ้าเป็นตัวยาช่วยย่อย เพราะในยางมะละกอมีสารที่เรียกว่า Papain
เป็นยากัน หรือแก้โรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟัน: ใช้มะละกอสุกรับประทานเป็นผลไม้ ให้วิตามินซีสูง
เท้าบวม: เอาใบมะละกอสดตำให้แหลกผสมกับเหล้าขาว ใช้พอกเท้าที่บวมลดอาการบวมลงได้
แก้เคล็ดขัดยอก: ใช้รากมะละกอสดตำให้แหลกผสมเหล้าโรงพอก
โดนหนามตำหรือหนามหักคาเนื้อใน: ให้บ่งปากแผลเปิดออก เอายางมะละกอดิบใส่หนามจะหลุดออก
คันเพราะพิษของหอยคัน: ให้ใช้ยางมะละกอดิบทาเช้า-เย็นจนหาย
เมื่อมีอาการปวดตามข้อและหลัง: รับประทานมะละกอสุกเป็นประจำป้องกันและบำบัดโรคปวดข้อปวดหลังได้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง ใช้รากมะละกอตัวผู้แช่เหล้าขาวให้ท่วมยาไว้ 7 วัน และกรองเอาน้ำใช้ทาแก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อเปลี้ยอ่อนแรง ลดอาการปวดบวม ให้เอาใบมะละกอสดย่างไฟหรือลวกกับน้ำร้อนแล้วประคบบริเวณที่ปวด หรือตำพอหยาบห่อด้วยผ้าขาวบางทำเป็นลูกประคบ
ถ้าโดนตะปูตำเป็นแผล: ให้เอาผิวลูกมะละกอดิบตำพอกแผล เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง แผลน้ำร้อนลวก ใช้เนื้อมะละกอดิบต้มให้สุกจนเปือย ตำพอกที่แผล แผลพุพอง ใช้ใบมะละกอแห้งกรอบบดเป็นผง ผสมกับน้ำกะทิพอเหนียวข้น ใช้พอกหรือทาที่แผลวันละ 2-3 ครั้ง
แก้ผดผืนคัน: ใช้ใบมะละกอ 1 ใบ น้ำมะนาว 2 ผล เกลือ 1 ช้อนชา ตำรวมกันให้ละเอียดเอาทั้งน้ำและเนื้อทาแผลบ่อยๆ กลาก เกลื้อน ฮ่องกงฟุตหรือเท้าเปือย ใช้ยางของลูกมะละกอดิบทาวันละ 3 ครั้งฆ่าเชื้อราได้

[แก้] อ้างอิง

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น